เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ พ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี่ธรรมวินัย ถ้าพูดถึงมันธรรมวินัย เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บอกว่าเราไม่สามารถทำให้เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หรอก เพียงแต่จะทำให้ผิดให้น้อยที่สุด ไม่มีใครเลยจะสามารถทำให้ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีเพราะอย่างไรมันก็มีความผิดพลาดไป เช่น อย่างพระสารีบุตรเป็นเสนาบดี เป็นผู้ที่มีปัญญารองจากพระพุทธเจ้าเลย แต่เวลากิริยาของท่าน เวลาท่านโดดข้ามคลอง ท่านทำอะไรนี่ บางคนญาติโยมยังติได้เลย เพราะว่าอะไร เพราะมันเป็นสันดาน สันดานคือความเคยใจ ดูนะ

เราเคยพูดกับผู้ที่เขาอดบุหรี่ เขาบอกเขาอดบุหรี่ได้ แต่ขออย่างเดียวขอให้เขาคีบไว้เฉยๆ เพราะความเคยชิน คีบบุหรี่ไว้โดยที่ไม่ต้องสูบเพราะเขาเคยทำ เขาทำได้ แต่ถ้าไม่ให้เขาทำอะไรเลยเขาทำไม่ได้ อันนี้คือความเคยใจ กิเลสมันเป็นแบบนั้น กิเลสมันเป็นความเจ็บใจ ความทำให้ใจนี้บอบช้ำ แต่กิริยาสัญชาตญาณมันเป็นอย่างหนึ่ง

ดูอย่างเช่นสัตว์ สัตว์มันแสดงกิริยาของมัน มันเป็นโดยสัญชาตญาณ มันแก้ไขของมันไม่ได้ แต่ของเรามันมีสมอง เรามีสมอง เรามีปัญญา เราถึงพยายามรักษาของเรา แล้วเราก็อ่านพระไตรปิฎก เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกเราก็คาดหมายว่าต้องเป็นแบบนั้นๆ

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่นะ ไล่ลูกศิษย์ ลูกศิษย์พระสารีบุตรจะมา...สมัยพุทธกาลออกพรรษาแล้วพระจะมาคารวะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ลูกศิษย์พระสารีบุตรมา มากลางคืนแล้วมาจัดที่ส่งเสียงดังกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระนาคีตะ ตอนนั้นพระนาคีตะเป็นผู้อุปัฏฐากอยู่ “นาคีตะ นั้นใคร เหมือนกับชาวประมงหาปลากัน” พระนาคีตะบอกว่าลูกศิษย์พระสารีบุตรจะมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มาถึงค่ำแล้วกำลังจัดที่นอนที่อยู่ที่อาศัยกัน ส่งเสียงดังไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้พระนาคีตะไล่พวกนี้ออกจากวัด

นี่เวลาพระไตรปิฎกอย่างนี้ทำไมมันไม่เอามาคิดล่ะ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเรียบจะสวยงามไปหมด ใช่ สวยงามไปหมดเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละกิเลสได้ด้วย ละจริตนิสัย เวลานอนนอนสีหไสยาสน์ได้ด้วย แต่เป็นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้ แต่พระองค์อื่นๆ ต่างๆ ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันก็มีความผิดพลาดบ้าง ความผิดพลาดอันนี้ไม่มีเจตนา

อย่างเช่นพระจักขุบาล เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ตาบอดด้วยพร้อมกับเป็นพระอรหันต์ด้วย แล้วกลับมาอยู่ที่วัด เดินจงกรมอยู่แล้วเหยียบสัตว์ตาย พระเขาเห็น เขาบอกว่าเพราะจักขุบาลเป็นอาบัติปาจิตตีย์

นี่ปาปมุต ปาปมุตหมายถึงว่า ไม่เป็นอาบัติ ไม่ใช่ว่าปาปมุตเราจะต้องอยู่ในกรอบไม่เป็นอาบัติเลย เป็นอาบัติไป คือว่ามันไม่มีเจตนา เหมือนทางโลก ถ้าไม่มีเจตนาไม่ครบองค์ประกอบคดีอาญาไม่มี เพราะว่าอะไร ไม่มีเจตนา ความเป็นไปนี่ อย่างเช่นเราฆ่าคนตาย เราฆ่าคนตายมันเป็นคดีอาญาใช่ไหม เวลาตำรวจเขายิงโจรตาย มันเป็นวิสามัญอย่างนี้ มันยิงโจรตาย ฆ่าเหมือนกัน แต่การฆ่ามีโทษกับไม่มีโทษ แต่มีโทษต้องสอบสวนไปแต่ก็ไม่มีโทษ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นไปอย่างนี้ เรื่องของไม่มีเจตนามันเป็นไป เรื่องอย่างนี้มันเป็นจริตนิสัย ถ้าเข้าใจเรื่องสิ่งนี้มันจะมองเข้ามาจากภายใน สิ่งที่เป็นประโยชน์นะ ถ้าเรามองเรื่องของโลก มันจะเป็นเรื่องของโลกหมด

ถ้ามองเรื่องของธรรมนะ ถ้าเรามองเรื่องของธรรม บางอย่างสิ่งต่างๆ มันจะเป็นคติธรรม ถ้าเราเอาสิ่งนี้ย้อนกลับมาเป็นคติธรรม เราจะมีปัญญาของเราตลอดไป แต่ถ้าเรามองเป็นเรื่องของโลก เราจะเป็นโลกไปหมด แล้วเราเป็นโลกกันหมดปัญญาของเราจะเป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดถ้ามารวมตัวกันสิ่งนั้นจะมีพลังงานที่สุด ดูอย่างน้ำป่าเวลามันพัดมา บ้านเรือนขนาดไหนมันทำลายไปหมดเลย เวลาเกิดพายุหมุนมันจะพัดเอาสิ่งต่างๆ ไปหมดเลย สิ่งนี้พูดถึงแล้วมันแยกจากกันจะไม่มีพลังเลย

แล้วความรู้สึกของมนุษย์ เห็นไหม ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมานี่ สิ่งนี้มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าน้ำ ยิ่งกว่าลม ยิ่งกว่าทุกๆ อย่าง แล้วเราทำความสงบของใจขึ้นมานี่ มันจะมีพลังขนาดไหน ถ้าเราใช้กำลังนั้นเป็น แล้วเราควบคุมสิ่งนี้เป็น สัมมาสมาธิเกิดขึ้นสภาวะแบบนี้ สัมมาสมาธิความว่างไม่ใช่ว่าไม่มีสติควบคุมสิ่งนี้ ถ้าไม่มีสติควบคุมสิ่งนี้ สิ่งต่างๆ เป็นความว่างๆ ว่างเราก็ปล่อยเฉย วางเฉยๆ ปล่อยว่างแล้ววางเฉย ปล่อยว่างแล้ววางเฉยเพราะอะไร เพราะมันต้องกดสภาวะแบบนั้นไว้

แต่ถ้าปล่อยวาง เวลามันเป็นสัมมาสมาธินี่ จิตเป็นอย่างนี้เหรอ เพราะอะไร เพราะคนเข้าไปทำพุทโธ กำหนดพุทโธเข้าไปหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไปนี่ เวลาจิตมันสงบนี่มันจะเป็นนะ เป็นความรู้สึกที่จับต้องได้ เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ เพราะรูปธรรมหมายถึงเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นเอก เป็นหนึ่ง เป็นสิ่งที่ว่าควบคุมได้ สิ่งนี้ควบคุมได้ กำลังอันนี้พลังงานอันนี้ถ้าคนมีอำนาจวาสนายกขึ้นวิปัสสนานะ ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาเป็นโลกุตรธรรม ถ้าโลกุตรธรรม เห็นไหม นี่โลกกับธรรม

ถ้าเป็นความโลก ความสบายใจวันนี้เราปล่อย เรามีความสบายใจมาก เราก็มีความสุขนะ ความคิดอย่างนั้นมันก็มี ปัญญาอบรมสมาธิก็เป็นแบบนั้น มันเริ่มจากสิ่งปล่อยวางเข้ามาหยาบๆ อย่างนั้น พอปล่อยวางสิ่งหยาบๆ อย่างนั้น เวลาเขามีความสบายใจ เขาปล่อยวางโดยที่ว่าโดยที่เขาไม่มีอะไรกระทบใช่ไหม แต่เรานี่มันมีความคิด มีความรู้สึก มีความจับต้อง มีความคิดสิ่งต่างๆ แล้วเราก็ใช้สติใช้ปัญญาควบคุมเข้าไป นี่ มันมีการทำงาน มันมีเหตุก่อนมา ความปล่อยวางมันถึงมีสติไง พอมันปล่อยวางนี่ เขาปล่อยวางแบบโลกของเขา เขาสบายใจของเขา เขาไม่มีเหตุมีผล

แต่เราปล่อยวางของเรา เพราะเราใช้สติเราควบคุมความคิดของเราเข้ามา ความคิดมันปล่อยวาง เวลาเราเจ็บปวดสิ่งใด สิ่งใดกระทบกระเทือนใจนี่ เราเห็นสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้เป็นอนิจจัง แต่อนิจจังทำไมมันเจ็บปวดนักล่ะ เจ็บปวดนักเพราะมันมีภวาสวะ มันมีตัวกระทบ สิ่งที่ตัวกระทบเราทำให้สิ่งนี้มันคายตัวสิ่งนั้นออกมา มันปล่อยออกมา มันปล่อยวางออกมาอย่างนี้ มันเห็นสภาวะความปล่อยวางมันถึงมีสติไง ถ้ามีสติมันควบคุมสิ่งนี้ได้ แล้วทำความบ่อยครั้งเข้า สงบบ่อยครั้งเข้าๆ มันถึงเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งนี้เราควบคุมสิ่งที่ว่าละเอียดอ่อนที่สุด

กระแสน้ำเวลามันรวมตัวกัน มันพัดมันทำลายสิ่งต่างๆ ไปทั้งหมดเลย แล้วมันได้อะไรขึ้นมา เพราะทำลายสิ่งที่ต่างๆ แล้วธรรมชาติมันก็เกิดขึ้นใหม่ เจริญงอกงามขึ้นมาใหม่ โลกมันเป็นอจินไตยอย่างนั้น มันเกิด มันแปรสภาพ มันแปรสภาพต่อไปนี้ ไม่มีใครควบคุมมันได้ แล้วแต่สภาวะที่มันเป็นไป โลกนี้เป็นอจินไตย

แต่สัตตะเป็นผู้ข้อง เราก็เป็นโลกอันหนึ่ง เพราะเรามีดิน มีน้ำ มีลม มีไฟ เหมือนกัน ในร่างกายของเรานี่โลกธาตุหนึ่ง ถ้าเราพิจารณาของเราเข้ามา เวลาจิตสงบเข้ามา เวลาเกิดปีติว่างหมดเลย ขนพองสยองเกล้า ร่างกายต่างๆ นี่โลกธาตุมันรับรู้ รับรู้เพราะมันมีความรู้สึก มันมีใจตัวนี้ ถ้าใจตัวนี้พิจารณาวิปัสสนาเข้าไปข้างใน มันทำลายโลกธาตุอันนี้ ถ้าทำลายโลกธาตุ โลก เห็นไหม โลกนอกโลกใน

โลกของเราคือความคิดความติดพันของมัน มันมีสสาร มีความรู้สึก ความรู้สึกอันนี้ฆ่าไม่ได้ มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันก็มีส่วนรับรู้ต่อไปเพราะเป็นธาตุรู้ ธาตุ ๖ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุคือโพลงกระดูก สิ่งที่เป็นโพลงกระดูกเหมือนกับอวกาศที่มันไม่มีความรับรู้ต่างๆ นั้นคืออากาศธาตุในร่างกายนี้ แล้วธาตุรู้นี้ เพียงแต่ธาตุรู้นี้มันเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นสสารอันหนึ่ง แต่สสารอันนี้เป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชามันถึงควบคุมไป แต่ถ้าทำสิ่งนี้เป็นการปล่อยวางธาตุอวิชชาทั้งหมด สิ่งที่เป็นธาตุอวิชชาทั้งหมดอันนี้ก็เป็นสสารอันหนึ่ง แต่สสารอันหนึ่งที่มันเป็นนิพพาน มันเป็นวิมุตติสุข อันนี้มันเป็นสิ่งที่อยู่กับใจดวงนั้นออกไป

มันถึงย้อนกลับเข้ามา ถ้าเรามองโลก เราไม่เข้าใจเรื่องของโลก เราก็ว่าโลกนี้เป็นธรรม ถ้าเรามองโลกแล้วเรามีคตินะ สิ่งต่างๆ ที่กระทบเราต้องจับตัวนี้เป็นเหตุเป็นผลแล้วคิดย้อนกลับเข้ามาหาใจของเรา ใจของเราเกิดขึ้นมาทำไม มนุษย์นี่เกิดขึ้นมาทำไม ทุกคนอยากเกิดเป็นมนุษย์นะ นี่เวลาเกิด เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมนุษย์สมบัติสำคัญที่สุด การเกิดเป็นมนุษย์นี่เพราะว่ามีกฎหมายคุ้มครอง มีสุขมีทุกข์เพื่อเราจะได้วิปัสสนาได้ เกิดเป็นสัตว์สภาวะอบายภูมิก็เป็นทุกข์ของเขาตลอดไป สัตว์มันก็มีความพอใจของมัน อบายภูมิก็มีหยาบ มีกลางต่างๆ กันไป เกิดเป็นบุญกุศลมันก็เกิดไป

เราเกิดเป็นมนุษย์นี่มนุษย์สมบัติ อันนี้เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้ประเสริฐมากเพราะเราเป็นมนุษย์ เรามีสิทธิในทางกฎหมาย สมบัติทุกอย่างเป็นของเรา ถ้าเราตายไปสมบัติก็มีอยู่แต่เป็นของคนอื่นไป นี่เป็นสาธารณะสมบัติ แล้วถ้าสิ่งที่เป็นมนุษย์เราเอามาวิปัสสนา วิปัสสนาเพื่อมีคติธรรม

ถามตัวเองไงว่า นี่เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วทุกข์ไหม ปัญญามันจะเกิด สภาวธรรมมันจะเกิด เกิดสภาวธรรมคือมันสลดสังเวช ธรรมสังเวชกับความโศกเศร้าเสียใจ เวลาเขาทุกข์เขาร้อนกัน เขาทุกข์มาก ร้อนมาก โศกเศร้ามาก ทุกข์นี้เป็นอนิจจัง ทุกข์นี้เป็นอนัตตา “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” แต่ไม่เป็นประโยชน์กับใคร เพราะเป็นประโยชน์กับผลของการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วสิ่งนี้ถึงมีกับเรา สิ่งที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง สัจธรรมเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

ธรรมะคือธรรมชาติอันหนึ่ง ถูกต้อง ธรรมะเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เริ่มต้นจากการประพฤติปฏิบัติ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะนี้เหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันเป็นสสารที่มันจะต้องเวียนไปในธรรมชาตินั้น แต่จิตนี้เข้าใจทฤษฏีธรรมชาตินั้นหนึ่ง เห็นสภาวะความเป็นไปตามความเป็นจริงนะ เข้าใจทฤษฏี เห็นไหม เราศึกษาทางวิทยาศาสตร์เราก็รู้กฎวิทยาศาสตร์ทั้งหมด แต่เราเคยทดลองไหม เราเคยทำความเห็นอย่างนั้นไหม

ถ้าเราวิปัสสนาเราจะเห็นสภาวะแบบนั้น ปัญญามันจะทำลายกัน มรรคะจะรวมตัวกัน ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้น สิ่งนี้ทำลายสภาวะจิตนั้น จิตนี้เป็นนามธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรม มรรคาเกิดขึ้นแล้ว ทำลายสิ่งนั้นแล้ว ถ้าทำลายสิ่งนั้นแล้ว เห็นไหม นี่มันถึงว่าทำลายสภาวะธรรมชาติ สิ่งนี้มันเกิดขึ้น สภาวะธรรมชาติคือการแปรสภาพ สสารที่มันแปรปรวนมันต้องจากส่วนหนึ่งเป็นส่วนหนึ่ง มันไม่มีการบุบสลายไป มันแปรสภาพของมันตลอดไป นี้คือธรรมชาติ

แล้วเรารู้ธรรมชาติตามความเป็นจริง ถ้าเราเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราก็เวียนไปในธรรมชาติอันนั้น เราต้องรู้จักธรรมชาตินั้น ปล่อยวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริงแล้วจิตนี้ถึงหลุดออกไปจากธรรมชาติ ถึงไม่กลับมาเวียนไง ธรรมชาติ เห็นไหม พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกก็ธรรมชาติของมัน มันขึ้นตกธรรมชาติของมัน ลมมันแปรสภาพเป็นธรรมชาติของมัน มันมีเหตุมีผลของมัน มันถึงเป็นธรรมชาติอันนั้น

เราก็สภาวธรรมก็เป็นธรรมชาติก่อน อย่างหยาบๆ ต้องอาศัยกันไป ถึงที่สุดแล้วนะ เราต้องสลัดสิ่งนี้ทิ้งทั้งหมด เราจะเป็นธรรมชาติจะเป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะเป็นอัตตานุทิฏฐิ เป็นสิ่งที่รู้เขา สิ่งที่จับต้องเขา สิ่งที่รับรู้เขา มันละเอียดอ่อนขนาดนั้น ถึงว่าสภาวธรรมละเอียดอ่อนกว่านั้น เราคิดถึงลม น้ำ สิ่งที่รวมตัวกันยังมีสภาวะแบบนั้น แล้วถ้าปัญญาเราเกิดขึ้นมาสิ มันจะเห็นความมหัศจรรย์ของมันมาก มหัศจรรย์เพราะอะไร เพราะมันเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก เป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด สิ่งที่จะทำลายทุกอย่างได้หมดเพราะอะไร เพราะทำลายจนพวกเราไม่เห็นความชีวิตนี้คืออะไร ไม่เห็นตัวตนของตัวเอง

ถ้าจิตสงบขึ้นมานี่ สิ่งที่มันปกปิดคือว่าอวิชชาความเข้าใจผิดของเรานี่มันคายตัวลง จะเห็นตัวตนของเรา คือเห็นสัมมาสมาธิ เห็นความ...อ้อ! ชีวิตเป็นอย่างนี้เอง สมาธิเป็นอย่างนี้เอง จิตนี้มีจริงนะ กายกับใจอยู่ไหนๆ ไม่เห็นกายกับใจเลย แยกกันไม่เป็น พอจิตเป็นสงบเข้ามา อ้อ! ใจเป็นอย่างนี้ กายเป็นอย่างนี้ แล้วสภาวะใจอย่างนี้พิจารณากายกับใจอีกชั้นหนึ่ง แล้วพิจารณาเข้าใจความเป็นจริง นี่สภาวธรรมเกิด นี่เป็นธรรมชาติเพราะอะไร เพราะสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี้เป็นสภาพอนัตตาทั้งหมดขณะที่มันก้าวเดินต่อไป ธรรมอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้เราก้าวเดิน นี้คือสภาวธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางแต่เหตุไว้ ผลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยบอกเลย แล้วเราจะเข้าใจผลตามความเป็นจริงของใจดวงนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในธรรมไม่มีผลนะ ผลคือว่าโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล นั้นเป็นผล แต่ใจของผู้ที่เข้าไปสัมผัสจะรู้เอง แต่เหตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้หมดเลย เหตุคือการก้าวเดินของมรรคาที่มันเคลื่อนดำเนินไป เราสร้างเหตุของเราตลอดไปนี่ คือสภาวธรรมที่มันเป็นอนัตตา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา คือระหว่างการก้าวเดินนี้เป็นบัญญัติ สมมุติบัญญัติยังพูดได้ ถ้าเรามีสมมุติบัญญัติอยู่ เรายังติดข้องอยู่ในโลกนี้ พ้นจากสมมุติพ้นจากบัญญัติไปนั้นเหนือธรรมชาติ ธรรมอันนี้เหนือธรรมชาติ แล้วใครจะเป็นความรู้สึก คือหัวใจของสัตว์โลก คือหัวใจที่ทุกข์ๆ ของพวกเรานี้จะถึงที่สุดได้ เอวัง